หากจำกันได้ ปลายปี ที่ผ่านมามีประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยสำหรับข่าวการควบรวมของ 2 ค่ายใหญ่ในไทยอย่าง true และ dtac ซึ่งกระแสข่าวของการควบรวมอย่างไม่เป็นทางการได้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 เกิดเป็นกระแสของการพูดถึงโดยเฉพาะบนโลกโซเชียลกันอย่างล้นหลามในหลากหลายประเด็น รวมถึงตั้งข้อสงสัยว่าการควบรวมครั้งนี้เป็นการควบรวมเพื่อการอยู่รอดของธุรกิจ หรือจะกลายเป็นการผูกขาดทางการตลาด
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นของดีลนี้ บนโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ของบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด พบว่าเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อมีการควบรวมแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคกลับมามองไม่ใช่เรื่องของความผูกขาด แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ดีที่สุดที่ควรจะได้รับจากการที่ผู้บริโภคจ่ายไป ทั้งในเรื่องของประสบการณ์ของการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งทาง true และ dtac ค่อนข้างมีความได้เปรียบในเรื่องของพื้นที่ของเสาสัญญาณหลังการควบรวมกันที่ผู้บริโภคมองว่าสัญญาณสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขึ้นและมีสัญญาณ 5G ที่ดีขึ้น อีกทั้งเรื่องของสิทธิพิเศษที่ได้รับหลากหลายขึ้น เช่น การดูถ่ายทอดสดฟุตบอล สิทธิพิเศษจากร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ หรือความบันเทิงต่างๆ ที่ครบครัน รวมถึงการใช้พ้อยท์คะแนนแลกสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น
ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 กรกฎาคม 2566 พบว่ามีการพูดถึงประเด็นของการควบรวม true และ dtac มากกว่า 1.3 แสนข้อความ และมีจำนวนเอ็นเกจเมนต์มากกว่า 7 ล้านเอ็นเกจเมนต์ สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของผู้คนบนโซเชียลเกี่ยวกับการควบรวมนี้อย่างเห็นได้ชัด
เมื่อดูประเด็นของการพูดถึง โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและหลังการควบรวม พบประเด็นที่น่าสนใจจากผู้คนบนโซเชียลที่สรุปออกมาได้ ดังนี้
ความสงสัย ความกังวล และ ความหวังช่วง ‘ก่อนการควบรวม’
ตามที่ทราบกันว่าในประเทศไทยเองมีเครือข่ายโทรคมนาคมของภาคเอกชนที่เป็นยักษ์ใหญ่อยู่ 3 บริษัท คือ true dtac และ AIS (แม้จะมี ค่ายที่ 4 คือ NT บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ แต่ก็ไม่ใหญ่เท่าเลยไม่ค่อยมีใครนับรวม)จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่ข่าวออกมาว่าจะมีการควบรวมเกิดขึ้นในครั้งนี้จะทำให้ true และ dtac ถูกมองเป็นเชิงลบว่าเป็นการผูกขาดของตลาดที่เห็นจากในกราฟเสียงที่เป็น Negative ค่อนข้างสูงในช่วงแรกที่มีการปล่อยข่าวออกมา ผู้บริโภคมองว่าถ้าหากเหลือผู้แข่งขันในอุตสาหกรรมน้อยลง อาจส่งผลให้การสร้างแรงจูงใจในการทำบริการหรือสินค้ามาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคจะลดลงตามไปด้วย
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงของผู้บริโภคอีกกลุ่มมองในเชิงบวกว่าการควบรวมกันเป็นการทำเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจเพื่อจะไปต่อสู้กับเจ้าตลาด อีกทั้งควบรวมกันครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ จะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
รวมถึงแสดงความเห็นถึงความคาดหวังจากการที่ควบรวมกันในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งความคาดหวังในเชิงของประสบการณ์ที่ตัวเองจะได้รับ ความคาดหวังในเรื่องของความครอบคลุมของเสาสัญญาณที่มากขึ้น คุณภาพอินเทอร์เน็ตที่เสถียรขึ้น ความคาดหวังผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของราคา และ สิทธิพิเศษต่างๆ จากประสบการณ์ที่เขาคาดหวังจะได้รับ
แต่อีกมุมนึงผู้บริโภคคาดว่า การรวมกันแล้วจะทำให้ราคาสูงขึ้น การพัฒนาสินค้าของตัวเองน้อยลง เพราะไม่มีการแข่งขันกันในตลาด รวมถึงคาดว่าคุณภาพของอินเทอร์เน็ตลดลง
ภาพความคิดเรื่องการผูกขาดเปลี่ยนเป็นความคาดหวังกับประสบการณ์ที่ได้รับ ‘หลังการควบรวม’
หลังจากการประกาศการควบรวมอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น ภาพของความสงสัย ความกังวลเรื่องของการผูกขาดกลับไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผู้บริโภคพูดถึง การพูดถึงในเชิงลบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการพูดถึงในเชิงบวกที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเรื่องของประสบการณ์ที่ได้รับ สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ อีกทั้งยังมีกระแสการพูดถึงชื่นชมต่อการใช้ พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ อย่าง คุณนาย ณภัทร และ คุณใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ที่สะท้อนให้เห็นถึงความอบอุ่นของการมีกันและกัน และ การรวมกันเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
รวมถึงหลังจากการควบรวมกันแล้ว ความคาดหวังของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องในแง่มุมที่ต่างออกไป นั่นคือ ภาพของการผูกขาดหายไป แต่กลับเป็นความคาดหวังที่มุ่งไปใน เรื่องของประสบการณ์ที่ผู้บริโภคได้รับโดยตรง ในเรื่องของอินเทอร์เน็ต ราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงสิทธิพิเศษที่อยากได้เพิ่ม พร้อมกับเงื่อนไขต่างๆ ที่ตอบโจทย์ต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุป
ภาพรวม ‘ก่อนการควบรวม’ ผู้บริโภคส่วนมากจะพูดถึง
‘หลังจากการควบรวม’ ข้อสงสัยต่างๆ บนโลกโซเซียลได้จางลง ค่อยๆเปลี่ยนเป็นประเด็นใหม่ๆที่ใกล้ตัว
ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังคงมีความท้าทายให้ true และ dtac ได้ปรับตัวกันต่อไปเมื่อเรื่องของการผูกขาดไม่ใช่ประเด็นหลักที่คนพูดถึง แต่อาจจะยังต้องมีการขยับตัวเพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้
ถึงผลประโยชน์ที่ดีที่สุดที่พวกเขาได้รับและออกมายืนยันว่ายังคงใส่ใจในการพัฒนาตัวสินค้าและบริการที่ดีให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
เพราะหลังจากการประกาศควบรวมอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการและให้ความสำคัญคือประสบการณ์ดีๆ ที่พวกเขาควรได้รับจาก true และ dtac ทั้งในแง่การใช้งานที่ดีขึ้น ราคาที่คุ้มค่าเหมาะสม รวมไปถึงการบริการที่เหนือกว่าและสร้างความพึงพอใจในระยะยาวได้นั่นเอง