โดย นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันพระปกเกล้า
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในปัจจุบัน ที่เป็นที่ปรากฏของความเป็นการเมืองแยกขั้วแบ่งข้างกลายเป็นพวกเขาพวกเรา กลายเป็นพวกมันพวกกู การเมืองแห่งการเอาแพ้เอาชนะกัน
การเมืองที่มองอดีตเพื่อจะพิสูจน์ความถูกผิด ความจริงการพิสูจน์ถูกผิดไม่ใช่สิ่งเลวร้ายและควรจะกระทำด้วย โดยเฉพาะคนที่ทำผิดจริงก็ต้องพิสูจน์แล้วเอาคนผิดมาลงโทษ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ไม่อาจจะหาข้อยุติได้ ไม่สามารถจะเดินไปสู่สันติภาพหรือสันติสุขที่คนไทยทั้งหลายใฝ่ฝันถึง ก็เนื่องจากคำว่าสันติ หรือสันติภาพที่มาจากภาษาอังกฤษว่า พีซ (Peace) นั้นไม่ใช่เป็นคำคำเดียว แต่จะมีว่าจัสต์ (Just) ซึ่งมาจากคำว่าจัสตีส (Justice) ซึ่งแปลว่ายุติธรรม เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
คือ จัสต์พีซ (Just Peace) นั่นคือ คนที่อยู่ในประเทศนั้น ในพื้นที่นั้น มีความรู้สึกว่าเขายังไม่ได้รับความยุติธรรม
ยุติธรรมที่ไม่ใช่มองเพียงยุติธรรมทางกฎหมาย (Legal Justice) ถูกผิดตามมาตรานั้นมาตรานี้ตามกฎหมายที่ผู้มีอำนาจออกหรือใช้
แต่เขายังต้องการความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) ที่มองไกลกว่าความยุติธรรมทางกฎหมาย มองไปข้างหน้า มองอนาคต มองผลที่จะตามมา
ทั้งหลายดูเหมือนว่า ความที่แยกเป็นพวกเขา พวกเรา ทำให้แต่ละพวกแต่ละกลุ่มก็จะมองกระบวนการที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมในมุมมองแห่งความต้องการทั้งสองแบบของความยุติธรรม คือ ทั้งยุติธรรมทางกฎหมายและยุติธรรมทางสังคม โดยหากจะเอาผิด “พวกเขา” ก็จะมองในสายตาของยุติธรรมทางกฎหมาย แต่ถ้าจะอธิบายการกระทำของ “พวกเรา” ก็จะมองในสายตาของยุติธรรมทางสังคม
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะพวกเขาพวกเราซึ่งกลายเป็นพวกมันกับพวกกูได้นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ
ความไม่ไว้วางใจเพราะไม่ใช่พวกเดียวกัน กับความไว้วางใจเพราะเป็นพวกเดียวกัน เป็นความไว้วางใจทางสังคม (Social Trust) และความไม่ไว้วางใจนี้เองจึงทำให้ไม่ว่าจะมีการกระทำใดๆ ของใครที่ดูจะเอนเอียงไปเหมือนเห็นด้วย หรืออาจจะไปสนับสนุนพวกเขาก็จะเริ่มไม่ไว้วางใจ และหาเหตุผลมาอธิบายให้คนอื่นๆ ทั้งหลายเห็นถึงความถูกต้องของเราและไม่ถูกต้องของเขา
และความเป็นพวกเขาพวกเรานี้จึงไม่อาจนำไปสู่ทางออกของความขัดแย้งได้
เพราะความรู้สึกแห่ง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา นั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะขาดทักษะที่สำคัญคือ การฟังอย่างตั้งใจ
การฟังอย่างตั้งใจที่ในภาษาจีนใช้คำว่า “ทิง” ซึ่งอักษรตัวเขียนคำนี้มีองค์ประกอบที่รวมเอาคำว่า หู และคำว่า ใจ หรือ หัวใจ ไว้ด้วยกัน นั่นคือ การจะเข้าใจ เข้าถึง
ดังพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวของเราจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเรายังต่างไม่ฟังกันและกัน โดยใช้ทั้งหูและหัวใจซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องทำงานด้วยกันจึงจะเกิดความเข้าใจ และนำไปสู่การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และนำไปสู่ความรู้สึกเป็นพวกเราเท่านั้น
หนังสือการเมืองสำหรับประชาชนหรือการเมืองภาคพลเมือง (Politics for People) ของเดวิด แมทธิว ประธานมูลนิธิเคทเธอริง ที่พยายามผลักดันให้เกิดการเมืองของประชาชน (Citizen Politics) ในสหรัฐอเมริกา ได้พูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับที่เขียนขึ้นมาของอเมริกาและคำแรกที่เริ่มต้นได้เขียนว่า “พวกเราประชาชน” หรือ “We the people” ทั้งผู้นำในการประกาศอิสรภาพและประชาชนเป็นกลุ่มเดียวกันหรือพวกเรา
แต่เมื่อพัฒนาการเมืองไปเรื่อยๆ นักการเมืองของอเมริกากับประชาชนเริ่มมีมุมมองที่ต่างกัน ทั้งที่แต่ละฝ่ายคิดว่าตัวเองทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนแล้ว ประชาชนที่เดวิด แมทธิว ได้ไปสำรวจความคิดเห็นมา เริ่มมองเป็น “พวกเราประชาชน พวกเขารัฐบาล” หรือ “We the people, they the government”
ดูเหมือนว่าสิ่งที่รัฐบาลทำกับสิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ตรงกัน ดูจะมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ในประเทศไทย
เดวิด แมทธิว อธิบายปรากฏการณ์นี้เหมือนกับสามีและภรรยาที่อยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างทำตัวเป็นสามีที่ดีและภรรยาที่ดีในมุมมองหรือสมมติฐานของตัวเอง เช่น สามีก็อธิบายว่าการที่กลับบ้านดึกและมีงานเยอะ ต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว การกระทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สามีที่ดีพึงกระทำ
ก็เหมือนกับรัฐบาลพยายามทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา แต่สิ่งที่รัฐทำไม่ตรงกับสิ่งที่ประชาชนอยากให้ทำ
แมทธิวบอกว่า ยิ่งสามีภรรยาคู่นี้อยู่ด้วยกันนานเท่าไรก็จะยิ่งเกลียดกันมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพราะ “ดี” ของแต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน แต่ละฝ่ายก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนดีของตัวเอง ความไว้วางใจก็ค่อยๆ หมดไป เพราะไม่ฟังกัน ไม่หันหน้ามาพูดกันในลักษณะของการสานเสวนา (หรือ dialogue) แต่ละฝ่ายจะใช้วิธีการอธิบายความถูกต้องของตนเองและกล่าวหาความผิดพลาดของอีกฝ่ายโดยการใช้การโต้เถียง (หรือ debate)
ความแตกต่างของการสื่อสารกันทั้งสองอย่างก็คือ เมื่อไรโต้เถียงหรือดีเบตก็คือการมาพูดเพื่อเอาแพ้เอาชนะกัน เหมือนอย่างที่นักการเมืองหรือผู้อาสาสมัครมาเป็นตัวแทนประชาชนมาปกครองประเทศ ไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ที่เราเห็นผู้สมัครสองพรรคดีเบตหรือโต้เถียงกันอยู่ จะพยายามอธิบายว่านโยบายฉันถูก ของอีกฝ่ายผิด และพยายามไปหาอดีตของฝ่ายตรงข้ามว่าทำอะไรผิดพลาดหรือเลวอย่างไร
ซึ่งในประเทศไทยก็ดูไม่ต่างกันเมื่อมีการหาเสียงเพื่อเอาชนะกันระหว่างพรรคการเมือง หรือแม้แต่เมื่อมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เพิ่งผ่านพ้นไป เลือกผ่านไปแล้วก็เป็นหน้าที่ขององค์กร เช่น กกต.จะมาตัดสินว่าสมควรประกาศรับรองหรือให้ใบเหลือง ใบแดงกัน
ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือเปล่า เพราะแต่ละฝ่ายก็จะมาแก้ตัวว่าไม่ผิด
เรายังไม่แก้ปัญหาต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง
เรายังไม่ได้ทำการเมืองที่สมานฉันท์
การเมืองของประชาชน ที่ประชาชนกำหนดนโยบาย กำหนดกฎกติกาที่ผู้แทนอาจจะไปร่างแล้วให้ประชาชนได้มีโอกาสมีส่วนร่วม ซึ่งไม่ใช่การทำประชาพิจารณ์ เพราะเวทีประชาพิจารณ์ก็เป็นเวทีโต้เถียงหรือดีเบตของฝ่ายที่ทำโครงการหรือออกกฎหมายและบอกว่าคิดดีแล้ว ประชาชนยังไม่เข้าใจ ประชาชนซึ่งมองเห็นต่างก็จะโต้แย้ง หรือแม้แต่การลงประชามติที่หลายๆ คนคิดว่าน่าจะเป็นเครื่องมือที่ดี เพราะให้ประชาชนแต่ละคน ทีละคน ได้ตัดสินเองดังที่ประเทศไทยได้ผ่านประสบการณ์มาแล้ว
ครั้งหนึ่ง ประชามติในปัญหาที่สลับซับซ้อนก็ดี หรือรัฐธรรมนูญที่มีมากมายหลายมาตราก็ดี ไม่อาจจะใช้การตัดสินใจเพียงผ่านหรือไม่ผ่าน รับหรือไม่รับ บางที่คนห่วงหรือไม่พอใจเพียงไม่กี่มาตราไม่กี่ประโยค ก็อาจไม่รับหรือไม่ผ่าน ฝ่ายที่อยากให้ผ่านก็บอกให้รับไปก่อน
ผลการตัดสินใจโดยการลงประชามติจึงออกมาเป็น “แพ้-ชนะ” คนไม่อยากให้ผ่านเมื่อผ่านก็รู้สึกแพ้ คนอยากให้ผ่านเมื่อผ่านก็รู้สึกชนะ
ประเทศไทยได้ถูกแบ่งออกเป็นสีเขียวกับสีแดง เหมือนกับเวลานี้ที่ใครสวมเสื้อสีเหลืองก็พวกหนึ่ง สีแดงก็พวกหนึ่ง กลายเป็นพวกเขาพวกเรา พวกมันพวกกู
ทางออกของประเทศไทยเวลานี้คือการหันหน้ามาพูดคุยกัน มาเจรจากันที่เรียกว่าสานเสวนา หรือไดอาล็อก (dialogue) ที่ไม่ได้มาเอาแพ้เอาชนะกัน มาฟังอย่างตั้งใจกัน มาหาทางออกร่วมกัน
ในการสานเสวนาจะต้องมีกติกาและมีคนกลาง คนกลางที่เป็นที่ยอมรับหรือไว้วางใจหรือเป็นที่เชื่อถือของฝ่ายต่างๆ และเป็นคนกลางที่เข้าใจกระบวนการการสานเสวนาที่ไม่ใช่มาเอาแพ้ชนะกัน
ผู้ที่มาเจรจาต้องเรียนรู้ที่จะฟังอย่างตั้งใจ ผลัดกันพูดผลัดกันฟัง กำหนดประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายหรือหลายๆ ฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน
ประเด็นหรือโจทย์จะต้องมาพิจารณาร่วมกัน มานิยามหรือมากำหนดโจทย์ที่ไม่ใช่จุดยืน (หรือ position) ซึ่งเป็นคำตอบที่แต่ละฝ่ายมีอยู่แล้ว แต่กลับไปหาโจทย์ที่แท้จริง เช่น อยากเห็นประเทศชาติกลับคืนสู่สันติสุข สันติภาพที่ยืนอยู่บนความยุติธรรมทั้งทางกฎหมายและทางสังคม มีการเมืองที่ไม่ใช่มองเฉพาะการเมืองเท่ากับการเลือกตั้ง แต่เป็นการเมืองที่มองถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ให้ประชาชนได้สามารถมีที่ยืนที่เรียกว่าพื้นที่สาธารณะ (public space) ซึ่งไม่ใช่การเมืองของนักการเมืองอย่างเดียว เป็นต้น
การมาสานเสวนาหากันจึงไม่ใช่การเจรจาอย่างที่เราเคยรู้จักและเข้าใจที่เป็นการเกลี้ยกล่อมให้ยอมๆ กัน หรือการเจรจาที่เป็นการต่อรองที่ต้องมีคนได้มีคนเสีย มีคนแพ้ มีคนชนะ เป็นการเจรจาที่ทุกฝ่ายชนะการจะยอมอะไรก็ไม่ใช่ยอมกัน หรือโดยการยกมือลงมติว่าเสียงฉันมากกว่าชนะ
แต่จะเป็นมติที่เรียกว่า “ฉันทามติ” (หรือ consensus) เป็นมติที่เกิดจากความพึงพอใจ อาจไม่ถึงกับแต่ละคนทีละคนเห็นด้วยหมดที่เรียกว่าเอกฉันท์
แต่เป็นมติที่ออกมาจากการฟังกันด้วยใจและอย่างตั้งใจ แล้วมองหาทางเลือกหลากหลายช่องทางที่ค่อยๆ ทำความเข้าใจกันและกัน แล้วปรับรูปแบบจนเห็นว่านี่แหละใช่ จะเป็นมติที่ยั่งยืนกว่า และผู้ที่เป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นกลางที่เป็นที่ไว้วางใจติดตามข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากฉันทามติว่านำไปสู่ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ตามข้อตกลงไหม มีอุปสรรคใดที่ปฏิบัติไม่ได้กลับมาสานเสวนากันอีก จะมีรัฐบาลชั่วคราวหรือเฉพาะกาลเพื่อนำไปสู่ทางออกอย่างฉันทามติหรืออย่างไร ก็จะเกิดจากเวทีการสานเสวนานี้
ผู้มาร่วมสานเสวนาอาจจะกำหนดตัวแทนเบื้องต้นจำนวนหนึ่ง และมีเวทีรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมที่ไม่ใช่เวทีโต้เถียงหรือดีเบต แต่เป็นเวทีย่อยเพื่อหาฉันทามติร่วมกำหนดกติกาบ้านเมืองให้เกิดขึ้น โดยการมีส่วนร่วมต้องมีการสื่อสารถึงกันและกันตลอดเวลา สื่อจะต้องเข้าใจกระบวนการและกติกาด้วยความเข้าใจ ไม่สร้างการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสอย่างแท้จริง อะไรที่ไม่ชัดเจนไม่ เข้าใจ ให้มีการสื่อสารกัน ก่อนจะมีคำพิพากษาว่าพวกนั้นพวกนี้ เป็นต้น
กระบวนการเหล่านี้เป็นกระบวนการที่สังคมจะต้องเรียนรู้กันใหม่ จะต้องมีเวทีสื่อที่ไม่ใช่มาชี้หน้าด่ากันเป็นเวทีที่มองไปข้างหน้าหาทางออก
จึงขออนุญาตสรุปเสนอทางออกของการแก้ปัญหาทางออกของประเทศที่อาจจะสรุปได้คือ
1) ให้หาคนกลางที่เป็นที่ยอมรับของฝ่ายต่างๆ เช่น ประธานวุฒิสภาพร้อมทีมงานที่เข้าใจกระบวนการการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ และเข้าใจกระบวนการสานเสวนา
2) ให้เปิดเวทีการสานเสวนาหลังจากทำความเข้าใจแต่ละฝ่ายถึงขั้นตอนและกติกาของกระบวนการ
3) ให้มีการทำความเข้าใจกับสาธารณชนในรายละเอียดของกระบวนการอย่างโปร่งใสและต่อเนื่องโดยตลอด
4) ให้มีกติกาของการสานเสวนาที่ฝ่ายที่จะมาเจรจาร่วมตกลงด้วยกันเพื่อไปสู่การหาทางออก
5) ฝ่ายที่ขัดแย้งส่งตัวแทนรับทราบ เรียนรู้ กติกา กระบวนการ ก่อนการสานเสวนา หาทางออก
6) กำหนดประเด็นของการสานเสวนาร่วมกัน โดยเป็นประเด็นหรือโจทย์ที่ฝ่ายต่างๆ เห็นพ้องต้องกัน ที่ไม่ใช่จุดยืน แต่เป็นจุดสนใจหรือความต้องการ ความห่วงกังวลที่อยู่เบื้องหลังจุดยืน เช่น ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่าสร้างเขื่อนหรือไม่สร้าง แต่เป็นโจทย์ เช่น จะบริหารจัดการลุ่มน้ำอย่างไร (ให้มีน้ำพอใช้และไม่เกิดการท่วมท้นอยู่เป็นประจำ) เป็นต้น
7) การกำหนดการเมืองใหม่เมื่อสามารถหาทางออกของปัญหาเร่งด่วนในปัจจุบันที่ทุกฝ่ายพึงพอใจแล้ว
(ให้ใช้การสานเสวนากับประชาชนในแต่ละพื้นที่กระจายไปให้ทั่วถึง เพื่อพิจารณาการเมืองที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันอยากเห็น จะเรียกว่าการเมืองใหม่ หรือการเมือง หรือประชาธิปไตยแห่งการสานเสวนาหาทางออก แล้วกลับมาหาฉันทามติร่วมจากพื้นที่ต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้สถาบันพระปกเกล้าได้เคยดำเนินการในหลายๆ กรณี และสามารถหาฉันทามติในประเด็นนั้นๆ ได้ผลดีมาแล้ว)
ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอโดยสังเขปที่จะต้องมีการทำความเข้าใจในรายละเอียดอีกมาก อยากจะฝากไว้สุดท้าย จากหนังสือกล้าล้มเหลวที่ผู้เขียนได้แปลไว้ ผู้แต่งคือ บิลลี่ ลิม บอกว่า “ถ้าคุณยังทำอะไรอย่างที่เคยๆ ทำกันมา คุณจะได้สิ่งที่เคยๆ ทำมาแล้วเท่านั้น”
ฉะนั้น เราจะหันมาร่วมกันหาสันติสุข สันติภาพที่มีความยุติธรรมร่วมกัน เราก็ต้องใช้กระบวนการวิธีการใหม่ คือ การฟังอย่างตั้งใจ การสานเสวนา (หากมาสานเสวนากับประชาชนอาจเรียกว่า ประชาเสวนา) การหาทางออกโดยมองจุดสนใจ ความห่วงกังวลไม่ใช่จุดยืน และหาทางออกโดยฉันทามติที่ไม่ใช่เสียงข้างมากจากการยกมือลงมติ
เราต้องเคารพระบอบประชาธิปไตย เราจะให้กลุ่มคนใด หรือบุคคลใดมาอ้างเป็นพระอรหันต์ หรือพระศรีอารย์มาคิด มาวาดฝันเขียนรัฐธรรมนูญเอง ให้นักวิชาการชั้นยอดมาทำนั้น
ผู้เขียนคิดว่าคนคนเดียวไม่ใช่ผู้วิเศษ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องฟังเสียงประชาชน
ที่มา มติชนรายวัน วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11192 หน้า 7