หมายเหตุ – นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงถึงสถานการณ์การเมืองผ่านเครือข่ายของสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 4 กันยายน โดยยืนยันว่าจะไม่ลาออก และไม่ยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เดิมบอกกับ ผอ.สถานีว่าจะให้มีคนมาคุยด้วยกับผม เพราะต้องการทำแบบธรรมดาๆ แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 3 กันยายน มีข่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายเตช บุนนาค) ยื่นใบลาออก มีข่าวว่ามีองคมนตรีไปเข้าเฝ้าฯ นายสมัครไปเข้าเฝ้าฯ มันมากมายก่ายกอง ผมจึงเปลี่ยนมาคุยเองโดยไม่มีคนมานั่งคุย เมื่อคืน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปออกรายการ “ตาสว่าง” ช่อง 9 คุยกันใหญ่ 3-4 คน ฟังความดูแล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้ มีคนมาอธิบายข้างเดียว จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ จะให้รัฐบาลยอมทำ สถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอย่างธรรมดาๆ แท้ คือ มีคนที่มันยังไม่เลิกรามา 3 เดือนที่แล้ว จะเอาเรื่องไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ ต่อมาเอาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาไล่รัฐบาล มาเรื่องเขาพระวิหาร และว่าผมไปยุ่งเรื่องสร้างรัฐสภาใหม่ เขาต้องการสป๊าร์กให้ใครไปแตะแล้วเกิดเรื่อง ให้ทหารออกมายึดอำนาจอีก ก็นั่งอดทนมาตั้ง 90 วัน พอวันที่ 26 กันยายนก็เป่านกหวีดยาว
ผมตั้งใจไว้ก่อนแล้วจะไม่ให้มีการปะทะ ไม่ให้มีเหตุ ก็ทนมา แม้กระทั่งมายึดเอ็นบีที ยึดกระทรวงต่างๆ แล้วมายึดทำเนียบประกาศชัยชนะ ก็ต้องถามว่ามันอะไรกัน มีกฎหมายอะไรรองรับ เขาจะเกลียดชังใคร แต่อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ คำก็เทิดทูน สองคำก็เทิดทูน ใส่เสื้อสีเหลือง เหมือนกับสถาบันกำลังถูกทำลาย ไปว่าคนอื่น อย่างนี้จะไหวหรือ คนอื่นเขาก็เทิดทูนแต่อยู่ในหัวใจ ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมือง ทหารที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ รวมทั้งคนเมืองที่ไม่ได้พูด เขาไม่จงรักภักดีหรือ ความจงรักภักดีมันเกิดจากหัวใจของคน ส่วนที่ปาก จะแสดงก็แสดงไป กล่าวหารัฐบาลทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แล้วคน 5 คนที่มานั้นเป็นใคร คนเหล่านี้ทำให้เกิดปฏิวัติมาหนหนึ่งแล้ว เราก็กล้ำกลืนฝืนทน
จนวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เลือกตั้งได้ประชาธิปไตยกลับมา ผมก็บังเอิญมาเป็นหัวหน้าพรรคนี้เข้า แล้วทำงานมา 7 เดือน ไปเจรจาความต่างประเทศ เขาก็ยินดีที่บ้านเมืองนี้กลับมาเป็นประชาธิปไตย แต่ต่อมามีคนต้องการล้มประชาธิปไตย ในสภาล้มไม่ได้ เพราะมี 164 เสียง แต่มีคนข้างนอกตั้งคณะ ตั้งขบวนการ แล้วไปแตะต้องอะไรได้ไหม ทั้งที่เขาอยากให้เราแตะต้อง ฟาดฟัน ให้นองเลือด ทั้งที่ไม่มีเลือดจะนอง ทำทุกวิถีทาง เราก็ทำให้นุ่มนวล ศาลก็ออกหมาย แล้วไปขอบังคับคดี ไปเคลียร์พื้นที่ ก็เกิดปะทะกัน หัวร้างข้างแตก เพราะอีกข้างไม่ยอม สุดท้ายเป็นเหยื่ออีก เอาเหตุอีกว่ารัฐบาลใช้ความรุนแรง ผมเป็นคนสั่งถอยด้วยซ้ำไป แต่ที่ปะทะกันมันเป็นเหตุเป็นเชื้อใหญ่โตมโหฬาร ไอ้คนที่มันปลุกระดมชักชวนกันไว้ มันไปกันใหญ่ ออกข่าวกัน
ที่ผมเสียใจและอยากมาพูดกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ก็เพราะพวกที่เข้ามาสั่งสม อ้างเหตุตรงนี้ แล้วก็มีเหตุซ้อนเหตุขึ้นมาอีก เพราะมีคนทนไม่ได้ ไปตั้งป้อมที่สนามหลวงแล้วมาตีกัน โชคดีที่โทรทัศน์ถ่ายภาพด้านหลังของทั้งสองฝ่ายมาได้ เรื่องแบบนี้ต้องสอบสวน เพราะคนไม่ได้ตื่นมาเห็น ก็ไม่ได้ตามข่าว มาหาเหตุอีกแล้วว่ารัฐบาลวางแผนจุดชนวน ในที่สุดก็ต้องขอร้องทหารออกมาช่วย ผมไม่ได้คิดเอง นั่งประชุมกันหมด ทั้งทหาร ตำรวจ ว่า อย่างนี้มันก็ต้องดับชนวน ขอประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีตั้งหลายข้อ แต่เอาแค่ 5 ข้อ ให้พออยู่ได้ ขออย่างเดียวให้ตำรวจ ทหาร ปฏิบัติการได้ แต่คนทั้งบ้านเมืองคิดว่าประกาศแล้วจะมีการล้อมจับ เรารู้บทเรียนแล้ว ผมบอกเลยว่า ต้องนุ่มนวล และไม่กระทบกระทั่ง
ถ้าจะลำดับความเดือดร้อน คือ รัฐบาลเดือดร้อนก่อน เพราะเอาไม่อยู่ มายึดทำเนียบ ไม่สนใจหมายศาล ศาลยังโดนไปด้วย ศาลก็เอาไม่อยู่ พอเอาเข้าไปในสภา คนนั้นคนนี้ก็แนะนำให้ผมลาออก ยุบสภา ผมก็บอกผมมีเสียงข้างมากของผม ผมออกไม่ได้หรอกครับ บ้านเมืองเราประชาธิปไตย บ้านเมืองของเราไม่มีเหตุผลที่จะให้ใครมารวมตัวกัน แล้วชี้หน้าให้ออก ผมก็บอกสภาว่า ผมจะต้องอยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย สภาก็เอาไม่อยู่
คนที่เดือดร้อนต่อมา คือทหาร เพราะผมตั้ง ผบ.ทบ.ให้เป็นผู้ดูแล ท่านก็จัดการตั้งคณะกรรมการดูที่มีคนฟาดฟันกัน ท่านพูดตรงไปตรงมาว่า อย่างนี้ไม่ได้ ท่านก็ต้องรักษาตรงนี้ไว้ ท่านก็ยกให้ไปดูว่า ทางสภาจะแก้กันอีกทีไหม เพราะมันนอกเหนือกว่า ตามสำนวนท่านบอกว่า มันมีกำแพงไม่มีประตู เผื่อตรงอื่นมีประตู ผมก็ต้องรับฟัง ไม่ใช่ไม่ได้พูดจากัน ผมคุยกับท่าน ท่านแถลงเสร็จ ก็พูดจากับผมว่า มีความคืบหน้าอย่างไร วันนี้รัฐบาลก็โดนว่า ว่าเอาไม่อยู่ ศาลก็โดนว่า คำสั่งศาลไม่มีความหมาย ไปสภาก็ตกลงกันไม่ได้ เพราะต้องนับเสียง แล้วมาทหารอีก
บทความในหนังสือพิมพ์ “มติชน” เขาเขียนดีเลย เขียนให้ดูเลยว่า มีขั้นตอน 1-2-3-4 คือ ถ้าทำตามสูตรพังทุกราย เราไม่ต้องการพัง เราก็ไม่ไปตามสูตร ทางทหารบอกจะขอทำนิ่มนวล ผมบอกเอาด้วย ที่ผมพูดวันนี้ ต้องการถามประชาชนที่เข้าไปร่วมว่าท่านคิดอย่างไร วันนี้สื่อประโคมข่าวกัน บอกแตะต้องสื่อไม่ได้ สื่อเสนอข่าวมีอัยการคนหนึ่งที่ จ.สุราษฎร์ธานี อารยะชัดขืน แต่อัยการมีกี่คนที่ทำงานให้รัฐบาลอยู่ จะมาตัดน้ำตัดไฟ ออกข่าวกันเอิกเกริก ถามนำอย่างนั้นอย่างนี้ ตื่นเต้นกันหมด ทั้งที่ไปรษณีย์ ไฟฟ้า ประปา ก็ออกมาบอกแล้วว่าทำไม่ได้ แต่นายกฯตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้หรอก แต่ข่าวมันถล่มออกไปแล้ว มันสงครามข่าวทำให้คนขนหัวลุกอยู่ในวันนี้
สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ ผู้คนที่ไม่มีสถานะใดรองรับได้เลย แล้วเข้าไปยึดทำเนียบประกาศชัยชนะ และที่น่าเสียใจจนอยากร้องไห้ คือ บรรดาคนที่มีการศึกษา เมื่อคืนที่ออกรายการ “ตาสว่าง” บอกว่า จะต้องยึด ผมก็อยากไปนั่งแทน นพ.สุรพงษ์ พูดเอาแต่ได้ข้างเดียว ตะแบงไปอย่างนั้นเอง แล้วคนที่นั่งอยู่ด้วย ก็ปล่อยให้ตะแบงไปอย่างนั้น มีที่ไหนยืนยันว่าปลุกระดมนั้นถูกต้อง มันจะถูกต้องได้อย่างไร บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีกฎกติกาอย่างนี้ รัฐธรรมนูญที่ว่าไม่ดี ทำไมใครไปแตะต้องหรือแก้ไม่ได้ แล้วทำไมไม่รักษารัฐธรรมนูญ
ผมทำงานมา 7 เดือน ไม่ได้ทำอะไรผิด จะมาอ้างยังไงก็ต้องอ้างเป็นตัวบทกฎหมาย บ้านเมืองที่ไม่มีกฎหมาย อยู่กันไม่ได้ เพราะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่ว่ามีรถไฟขบวนใหญ่อยู่ที่ทำเนียบ ถ้าไม่ร่วมแล้วตกขบวน แล้วนักศึกษาธรรมศาสตร์เป็นอะไร หนุ่มๆ สาวๆ ไม่กี่คนที่มาขึ้นเวที บรรดาหนูเหล่านั้นคิดรึเปล่าว่า จุดหมายปลายทางมันอยู่ตรงไหน ข้อเท็จจริงเป็นยังไง เรียกร้องให้นายกฯลาออก 1 ใน 5 คนออกมาพูดว่า นายกฯลาออกหรือยุบสภาก็ได้พวกนี้กลับมาอีก ก็ต้องออกมาต่อต้านกันอีก แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
วันก่อนผมไปเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ไปคิดกันเอาเอง ไปตั้งป้อมรอว่าผมจะลาออก วันนี้ก็ออกข่าวมาอีก ตรงนี้ผมต้องบอกเสียก่อน เพราะมาว่าผมจะออกรายการประกาศลาออก คิดไปเอง ผมจะไปลาออกได้ยังไง วันนี้ผมอยู่ตัวคนเดียว แต่บ้านเมืองต้องการกฎกติกา คนทั้งโลกเฝ้าดู เมื่อวันที่ 3 กันยายน ผมให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ ผมก็ต้องไปตามสถานทูตต่างๆ เขาก็ยืนยันว่า ปฏิวัติเขารับไม่ได้ ปฏิวัติโดยประชาชนก็รับไม่ได้ มันไม่มีเหตุผล ที่ทำกันวันนี้ เขาเรียกปฏิวัติโดยประชาชน
พี่น้องทั้งประเทศลองคิดสิครับว่า ถ้าผมลาออกแล้ว ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เขาจะใช้การเมืองใหม่ ไอ้ระบบ 70 : 30 ไปเชื่อเขา ไอ้ลัทธิประหลาด เหมือนที่เกิดที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ที่ว่าถ้าฟ้าเปิดแล้วไม่ฆ่าตัวตายภายใน 5 นาที ก็ต้องเอาคนไปตาย 300 คน มันจะมาเกิดในบ้านเมืองเราวันนี้ แล้วจุดจบของประเทศไทยจะเป็นยังไง ที่คนพวกหนึ่งไม่ชอบรัฐบาลโน้น มาเชื่อมโยง ไม่มีเหตุผล ไม่เจรจา แล้วบ้านเมืองจะอยู่ได้หรือ
ที่แล้วมาบ้านเมืองมันมีอะไรเสียหาย มันไม่ได้มีอะไรผิดขั้นผิดตอน แต่มีคนที่บอกอดีตนายกฯกลับมาเร็วเกินไป เดี๋ยวจะมาอยู่สุขสบาย เขาต้องการให้รัฐบาลปราบปราม จะได้ให้ทหารออกมาอีก ผมก็ไม่ปราบปราม กลั้นใจมาสามเดือน แต่เขาจะเดือดร้อนยังไง ปัจจัยสนับสนุนหมดหรือไม่ ก็ไม่ทราบได้ แต่เขาจะต้องเอา ผมอยู่ข้างนอกก็บริหารได้ แต่มันขลุกขลัก อายทั่วโลก แต่คน 60 กว่าล้านคน เขามีชีวิตปกติ คน กทม.เขาอยู่กันปกติ นอกจากที่ทำเนียบ
วันก่อนมาสถานี โอย ถ่ายผมลงจากรถ ธงชาติกำลังจะขึ้น ผมบอกไปถ่ายธงชาติก่อน เหมือนฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ข้างล่างสถานีวันนี้ โอ้โห มากมายก่ายกอง มามากจนไม่รู้มาทำไม มาทำข่าวผมลาออก ผมไม่ลาออกหรอกครับ ผมจะอยู่รักษาประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ ผู้คนทั้งโลกเฝ้าดูอยู่ ผมจะบอกคนทั้งประเทศว่า ใครที่จะแห่ห้อมเข้าไป มันลัทธิอะไรกันไอ้ลัทธิเข้ายึดทำเนียบ แล้วชี้หน้าต้องออกๆ ไม่ไหว ผมจำเป็นจะต้องรักษาสถานการณ์บ้านเมืองไว้ เพราะเราไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน มีประวัติศาสตร์ มีชื่อเสียง มีสถาบันกษัตริย์ เดินหน้ามาจนป่านนี้ วงการทูตเขานับถือเรา ตอนที่เรายึดอำนาจกัน เขาก็ไม่พอใจหันหลังหันข้าง ตอนผมมาเป็นนายกฯ เขายืนยันเลยว่า สิ่งที่ผมทำ เขาดีใจที่เรายังรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ข้อหาหนึ่งที่กล่าวหาว่า รัฐบาลนี้ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน มันเสียไปแล้วเมื่อ ปี 2505 อภิปรายไม่ไว้วางใจก็เอาเรื่องนี้มาพูด มันเสียหายอะไร แต่ทำจนให้คนทั้งบ้านเมืองเข้าใจผิด คนเกิดไม่ทัน โตไม่ทัน ก็ว่ารัฐบาลนี้ทำให้เสียดินแดน ไปหากินคบค้า ผมก็เปิดฟัง ไอ้คลื่นวิทยุ 108 เอฟเอ็มนั่นแหละ บันทึกไว้หมด ก็ต้องฟ้องร้องกันวันข้างหน้า ชื่อผมทั้งนั้น แต่ไอ้ที่ประหลาดคือ ไอ้ 5 คน บวก 1 คน และลูกน้อง ไปทำเรียลิตี้โชว์ทางเอเอสทีวีกันเป็นปี ทำให้คนเกลียดชังชิงชัง มันไม่ได้ คุณจะมาทำให้คนเกลียด แล้วชี้หน้าว่าสมัครไม่จงรักภักดีไม่ได้เลยเชียว เพราะว่าคนบ้านเมืองนี้เขารู้ว่าผมเป็นอย่างไร
แม้จะไม่ได้ตั้งใจมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่เป็นหัวหน้าพรรค พรรคผมถูกเลือกมา ผมก็ต้องมาทำหน้าที่ โดยไม่มีประโยชน์ผูกพันอะไรกับบ้านเมืองนี้เลย ผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลยแม้บาทเดียว แต่ผมต้องใช้ความสามารถของผม ผมเห็นว่าบ้านเมืองจะต้องมีระบบ แล้วมาถูกต้องหมด แต่คนไม่พอใจทำนองว่า ไอ้พรรคการเมืองที่ผมบริหารอยู่วันนี้ จะเป็นพื้นฐานให้คนเข้ามาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกวันนี้ ได้ยังไง คิดเองพูดเอง นี่ถ้าเป็นคนอื่น มาเป็นหัวหน้าโดนบรรลัยวายวอดแล้ว แต่บังเอิญมาเป็นผม มันขบไม่ลง ซัดไม่ได้ ข่าวก็ยกย่องเข้าไป ตีกันเป็นเรื่องใหญ่
แล้วปิดสนามบิน มันปิดทางใต้ทั้งนั้น แต่ก็ต้องขอบคุณ ท่านอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (นายชวน หลีกภัย) ที่ส่งคนไปเจรจา ท่านบอกไม่ได้ ทำอย่างนั้นบ้านเมืองเสียหาย ก็ต้องขอบคุณ แต่ท่านสังเกตไหมว่ามันไม่มีในภาคอื่นเลย ทั้งที่ภาคอื่นมีผู้คนมากมาย มีแต่ทางนั้น ผมก็ไม่อยากให้มีเรื่องภาคนิยม เรื่องรักชอบไม่ว่าอะไร แต่คิดถึงบ้านเมืองไหม ทุบหม้อข้าวตัวเอง คนที่อยากร้องไห้ คือคนที่ทำธุรกิจโรงแรมในภาคใต้นี่แหละ
คนทั้งประเทศต้องฉุกคิดว่าบ้านเมืองมันเป็นอะไรกัน ถ้าชนะ สมัครออก แล้วบ้านเมืองจะเป็นยังไง เขาประกาศจะเอาการเมืองใหม่มาใช้ ถามนักวิชาการ อาจารย์รัฐศาสตร์ ที่ลงชื่อขับไล่ผมว่า ประเทศจะอยู่ยังไงถ้าเอาเลือกตั้ง 30 แต่งตั้ง 70 ไม่คิดกันเลยหรือ คนที่ไปลงชื่อ คิดอะไรกับบ้านเมืองนี้ ไปประกาศสนับสนุน ทั้งที่ไม่มีหลักเกณฑ์ แล้วถ้าคณะที่ไปยึดทำเนียบชนะ ใครจะเป็นนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ใครจะคุมทหาร มีกฎเกณฑ์อย่างไร แล้วถ้าผมเลวจริง ผมจะมานั่งสู้อยู่อย่างนี้ได้หรือ ที่มายึด รัฐบาลเสียหน้า เพราะไปแตะไม่ได้
ท่าน ผบ.ทบ.บอกว่า จะจับหนูตัวเดียว รื้อทั้งบ้านเลย นั่นเป็นการเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัด แล้วไอ้หนูตัวเดียวมันไปทำอะไร เชื้อโรคหรือ ติดโรคกันทั้งบ้านเพราะไอ้หนูตัวเดียวหรือ ไม่ได้มีอะไรเลย ผมก็ทำหน้าที่ของผม ฝ่ายทหารเขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เข้าใจว่าบ้านเมืองมันไปไม่ได้อีกแล้ว
เรื่องคุณเตช ผมไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลขอ แล้วผมก็ไปคุยกับคุณเตช คุณเตชก็มาช่วยเรื่องเขาพระวิหาร ทุกคนก็ชื่นชมยินดี แต่ว่าคุณเตชเขียนจดหมายมาบอกเองว่า ท่านถูกบีบบังคับจากมากมายหลายฝ่าย ถูกบีบบังคับยังไม่เท่าไหร่ ท่านมาเจอภรรยาท่าน บอกว่าทนไม่ได้แล้วอย่างนี้ เพราะสามีไปอยู่กับรัฐบาลซึ่งคนเขาดูหมิ่นเหยียดหยามกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ผมไม่เอาจดหมายท่านมาอ่านหรอก แต่ผมเห็นใจท่าน ก็ท่านเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิต ท่านก็รู้จักคุ้นเคยกับผมดี คุณพ่อคุณแม่ท่านกับผมก็คุ้นเคย ผมถึงได้ออกปากเชิญ แล้วรู้ว่าท่านมีความสามารถ แต่สังคมทำอะไร สังคมไหนผมไม่ทราบได้ จะบงการคุณหญิงคุณนายอะไรที่ไหนยังไง จะไปบีบบังคับคุณเตช ท่านไม่ได้มีความรู้สึกเป็นนักการเมือง ท่านเป็นข้าราชการ ไม่มีปัญหาอะไรอื่นเลย พาดหัวตัวเท่าหม้อแกง ผมก็ต้องไปหาคนมาแทนคุณเตช เพราะท่านถูกบีบคั้น แล้วรัฐมนตรีคนอื่นไปบีบได้ไหม นายกฯยังถูกเหยียบหัวเหยียบหาง แต่ผมยังอยู่ เพราะผมเป็นนักการเมือง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมถึงได้บอกว่า ความกลัวทำให้เสื่อม แต่ผมไม่กลัว ผมมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาบ้านเมืองนี้
ฉะนั้น ใครที่จะคิดคาดการณ์ว่าสมัครออกแล้วจะทำอย่างไร ต่อไปจะเป็นอย่างไร บอกเสร็จเลยว่า สมัครออกไปแล้วต้องใช้การเมืองใหม่ นักวิชาการครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ตัดสินใจต้องออกไปเชียร์ ต้องสนับสนุนและเหยียบย่ำรัฐบาล ลองคิดว่า จะรับการเมืองใหม่อย่างไร ก็ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ แล้วคนพวกนั้นจะมาแก้รัฐธรรมนูญได้ไหม มีสถานะไหม คนแก้รัฐธรรมนูญอยู่ในสภา 480 เสียง บวกอีก 150 เสียง ไปสั่งเขาได้ไหม หรือว่าสั่งบางพรรคการเมืองได้ แต่สั่ง 233 เสียงไม่ได้นะ สั่งพรรคร่วมรัฐบาลคงยังไม่ได้อีก วุฒิสมาชิกแต่งตั้งมา 74 คน จะนับไปหมดก็ตามใจ แต่ที่มาจากการเลือกตั้ง ยังไงก็เป็นไปไม่ได้
เมื่อวันที่ 3 กันยายนเอาอีก ทดลองอีก เขาก็ยังอยู่ต่ออีก เพราะเขารู้ว่าต้องมีหน้าที่ช่วยกันรักษาบ้านเมือง คุณเตชท่านทนไม่ได้ ผมก็ขอบพระคุณคุณเตชตรงนี้ที่ได้มาช่วยงาน ก็ลุล่วงไปได้เยอะ ท่านบอกท่านทนไม่ได้ คือ บีบคั้นมารอบด้าน ใครที่ไปบีบคั้นคุณเตช ก็ลองคิดดูแล้วกัน ท่านเป็นข้าราชการประจำ ไม่ได้มาทนทานกับผม ท่านบอกถอน ก็ไม่เป็นปัญหา ก็ประกาศขอบพระคุณตรงนี้เลย จะส่งดอกไม้ไปเยี่ยมภรรยาท่าน ผมไม่ได้โทษอะไรท่าน แล้วไม่มีการกระทบกระทั่ง ไม่มีอะไรเลย จะใช้ภาษาฝรั่งสักคำให้น่าหมั่นไส้ เขาต้องบอกว่ามี Conflict of Interest ผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ไม่มีหรอก ท่านก็บอกไมตรีของเรายังมีเหมือนเดิม
เมื่อคืนก็เป็นข่าวเอิกเกริกว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไปเข้าเฝ้าฯ นายสมัครไปเข้าเฝ้าฯ ผมเห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวเมื่อเช้า จะให้ผมเล่าว่า ผมเข้าเฝ้าฯว่าอย่างไร ผมพูดกับบีบีซี ผมบอกคุณไม่รู้ธรรมเนียมเหรอ นายกฯไปเข้าเฝ้าฯควีน (Queen) และก็รายงาน แล้วเขาไม่เอามาแถลง เพราะต้องมีระบบระเบียบ ผมเข้าเฝ้าฯตั้ง 10 หนแล้ว ไม่เคยเล่าสักที วันก่อนเขารู้ว่าผมเข้าเฝ้าฯ เพราะผมต้องลาคนที่สนามกีฬาไป เพราะต้องไปขึ้นเครื่องบิน ท่านพระราชทานเวลามา 5 โมงเย็น ไม่มีปัญหาอื่น แต่เข้าเฝ้าฯ แล้วผมจะมาแถลงได้อย่างไร ไม่ใช่เหตุผล องคมนตรีท่านก็ต้องไม่แถลง ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างเป็นปกติ
ผมยืนยันกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่า บ้านเมืองเวลานี้ยังเป็นปกติดีอยู่ นอกเหนือจากรอบทำเนียบ ไม่มี ไม่มีใครจะออกมายึดอำนาจบ้านเมืองนี้ เขาบอกเขาสันติ อาวุธไม่มี แต่มีปืนนิดหน่อย ไม่เป็นไร มีไม้นิดหน่อยฟาดกันตาย ไม่เป็นไร กรรมการจะสอบสวน ตำรวจ ทหาร เขาตกลงกันแล้วว่านุ่มนวลที่สุด มือเปล่าๆ มีโล่มีอะไรเท่านั้นเอง 2 กรณีที่ปะทะกัน เพราะตำรวจจะเข้าไปเคลียร์พื้นที่ เขาไม่ยอม ตำรวจ 27 คนบาดเจ็บ ทางโน้นก็ 30 กว่าคน ก็จบกันไปได้ พอมีคนตายเรื่องใหญ่ อยากเอาอย่างนี้กันอยู่แล้ว เข้าในสภาล่อกัน เอ็นบีทีจะต้องถูกตัดงบประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะคนรายงานข่าวรายงานไม่ตรง
สถานการณ์บ้านเมืองผิดปกติเพราะเราประกาศภาวะฉุกเฉิน ทหารนั้นฟาดฟันไม่ได้ ฟาดฟันเกิดเรื่อง ทหารไม่ปฏิวัติ ไม่ยึดอำนาจ และจะทำอย่างนุ่มนวล และผู้คนพวกนั้นต้องออกไปให้หมด ในเวลาไหนเวลาหนึ่ง เขาจะต้องจัดการออก ไม่ออกไม่ได้ ทั้ง 9 คนก็ไปศาล และไปขอประกันตัวซะ ให้จบเรื่องไป ไปสู้คดีความกัน ทุกอย่างมันต้องจบในลักษณะนี้ จบอย่างอื่นไม่ได้เลย ผมมาพูดวันนี้เพื่อให้ได้ฉุกคิดว่า จุดหมายปลายทางสำหรับพวกที่ปลุกระดมนั้นไม่มี
ผมประกาศให้ฟังนะว่า ผมไม่ลาออกครับ แล้วผมก็ยังไม่ยุบสภา ผมจะอยู่ดูหน้าที่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ คนที่จะทำดีจะรักษาระบอบประชาธิปไตย จะป้องกันสถาบันพระเจ้าอยู่หัว จะดูแลเรื่องใครจะมาลบหลู่ดูหมิ่น ผมจะต้องเป็นคนป้องกัน ถ้าผมมีหน้าที่จะทำอย่างนี้ แล้วดูสิว่าใครจะมาทำอย่างไร แล้วดูสิว่า พี่น้องประชาชนทั้งประเทศพอจะฉุกคิดได้ไหม ว่าที่ไปยุ่งกับเขาจะได้อะไรขึ้นมา ผลจบจะเป็นอย่างไร เขาจะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไร บรรดาสหภาพทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องจดชื่อท่านไว้ ที่ท่านเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวง มีตัวบทกฎหมายอยู่
ถ้าผมเป็นคนเลว เป็นคนสกปรก ผมอยู่ไม่ได้ป่านนี้หรอก ผมต้องแน่ใจว่า ผมไม่สกปรก และผมต้องแน่ใจว่า ถ้าผมไปศาล ผมต้องมือสะอาด และต้องแน่ใจว่า ผมกุมบังเหียนเรือลำนี้อยู่ ผมต้องรักษา ผมไม่โดดน้ำหนีหรอก ผมรับผิดชอบคนทั้งเรือ แต่ท่านทั้งหลายต้องกรุณาต้องช่วยผมด้วย จะนั่งฟังวิทยุปลุกระดม โทรทัศน์ปลุกระดมต่อไปก็ต้องมีวิจารณญาณ
ผมเสียงเดียวไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ต่อไปจะหามาอีกหลายเสียง จะหาคนที่คิดอย่างเดียวกันมาพูดจาให้ฉุกคิด ผมแน่ใจว่าถ้าหากผมยังทำหน้าที่ถือหางเสือบ้านเมืองนี้อยู่ เรื่องนี้ต้องจบได้ วันนี้เป็นเรื่องกรณีพิเศษ ขอแสดงความผิดหวังต่อท่านทั้งหลาย ที่เตรียมการว่า มาประกาศลาออก ไม่ล่ะครับ…
ที่มา มติชนรายวัน วันที่ 05 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11136 หน้า 2