สุนทรพจน์”ร้อน”ของ”จักรภพ”

โดย นงนุช สิงหเดชะ
หนังสือพิมพ์มติชน
ได้อ่านต้นฉบับสุนทรพจน์ที่เป็นภาษาอังกฤษเรื่อง “ประชาธิปไตยกับระบอบอุปถัมภ์ในประเทศไทย” ซึ่งนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) เมื่อ 29 สิงหาคมปีที่แล้วไปแล้ว ก็พูดได้ว่าเนื้อหาที่มีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยนั้น ไม่ได้คลาดเคลื่อนจากสาระสำคัญของต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษ (หวังว่านายจักรภพคงไม่เยาะเย้ยอีกว่าภาษาอังกฤษของคนอื่นไม่ดีเท่ากับนายจักรภพ)

ถ้าเป็นช่วง 6 ตุลาคม 2519 หากนายสมัคร สุนทรเวช ได้อ่านสุนทรพจน์นี้แล้ว อาจเป็นไปได้ที่จะเต้นผางและต้องนำไปพูดโจมตีเจ้าของสุนทรพจน์นี้ทางวิทยุยานเกราะ

ผู้เขียนจะไม่ขอร่วมวงวิพากษ์ในประเด็นที่ว่า ทำไมเรื่องดังกล่าวจึงเพิ่งถูกหยิบยกมาเปิดโปง ผู้นำมาเปิดโปงหวังผลทางการเมืองหรือไม่ แต่ขอพิจารณาเฉพาะประเด็นที่เป็นวิทยาศาสตร์นั่นคือ “ความมีอยู่จริง” ของสุนทรพจน์นี้ รวมทั้งเนื้อหาสาระของสุนทรพจน์

ส่วนกรณีที่นายจักรภพอ้างว่าเรื่องนี้พูดนานแล้ว ทำไมจึงเพิ่งมีคนหยิบมาเอ่ยถึงนั้น คำแก้ตัวนี้ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะห้วงเวลาที่พูดนั้นไม่ยาวนานพอที่จะทำให้เชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับสถานะปัจจุบันของจักรภพ และไม่นานพอที่จะตัดขาดการเกี่ยวพันกับพรรคที่จักรภพสังกัดอยู่

น่าประหลาดที่ในช่วงนี้ใครที่นำเรื่องการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงมาเปิดเผยต่อสาธารณะ กลายเป็นว่าดึงฟ้าต่ำ แทนที่จะถูกมองว่าต้องการจะปกป้องสถาบันที่พวกเขาเคารพรัก กลับกลายถูกพะยี่ห้อว่าเป็นพวกหาเรื่อง ต้องการใช้เป็นเครื่องมือโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามไปเสียหมด แต่คนที่จาบจ้วงกลับได้รับการปกป้อง

นายจักรภพในฐานะผู้พูดอาจต้องการตีความหมายสุนทรพจน์ไปในทางใดก็ได้เพื่อไม่ให้ตัวเองประสบความยุ่งยาก แต่ผู้เขียนในฐานะที่ได้อ่านอย่างพินิจพิจารณา (ไม่ใช่หาเรื่องอย่างที่จักรภพชอบตอบโต้) ดูความเชื่อมโยงของเนื้อหาและความเชื่อมโยงของประโยคแล้ว ก็ขอถือสิทธิตีความต่างไปจากนายจักรภพ

ไม่ได้ต้องการจะกล่าวหาว่านายจักรภพไม่จงรักภักดี เพียงแต่อยากโต้แย้งในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นที่กล่าวในทำนองว่าระบอบอุปถัมภ์ที่ถือกำเนิดมาจากสถาบันกษัตริย์นั้น ทำให้คนไทยจนถึงปัจจุบันเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีประชาธิปไตย

อยากจะถามนายจักรภพว่า a benevolent reign หรือการครองแผ่นดินด้วยพระเมตตากรุณานั้น เกี่ยวอะไรกับการที่ทำให้คนไทยไม่อยากมีประชาธิปไตยอย่างที่นายจักรภพยกมากล่าวอ้าง

นอกจากนี้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่นายจักรภพสรรเสริญคุณทักษิณว่าเป็นผู้มาปลดปล่อยให้คนไทยพ้นจากระบอบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นระบอบที่ทำให้คนไม่พึ่งพาตนเอง แถมยังสรุปว่าการที่คุณทักษิณเป็นผู้มาปลดปล่อยจึงก่อให้เกิดการปะทะกันอยู่ในขณะนี้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอุปถัมภ์

ไม่ว่าจะกรณีใดๆ เป็นการไม่สมควรที่นายจักรภพจะนำสถาบันกษัตริย์มาเชื่อมโยงกับการอยากมีหรือไม่อยากมีประชาธิปไตยของคนไทย เพราะไม่เกี่ยวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แปลว่าประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ซึ่งยังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ต้องการมีประชาธิปไตยเช่นนั้นหรือ

ตรงกันข้ามทุกประเทศที่กล่าวมานี้นอกจากประชาธิปไตยแข็งแกร่งแล้วยังเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมากอีกด้วย เพราะว่ารัฐบาลและนักการเมืองเขามีประสิทธิภาพ ไม่ขี้โกง ไม่หน้าด้าน

ประการต่อมา การอ้างว่าคุณทักษิณเป็นผู้มาปลดปล่อยประชาชนออกจากระบอบอุปถัมภ์นั้นยิ่งเลอะเทอะ เพราะในทางตรงกันข้ามคุณทักษิณคือผู้ที่มาทำให้ระบอบอุปถัมภ์หยั่งรากลึกยิ่งขึ้น

หากว่ากันไปแล้วหลังจาก พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ฝ่ายที่นำระบอบอุปถัมภ์มาใช้อย่างหนักหน่วงรุนแรงเพื่อดึงให้ประชาชนมาเสพติดการพึ่งพาคนอื่น เพื่อจะได้ดึงมาเป็นพวกได้ง่าย ก็คือฝ่ายนักการเมือง ผ่านการซื้อเสียงและอามิสสินจ้างต่างๆ

ชั้นแต่จะยกเลิกระบอบอุปถัมภ์ในพรรคของตัวเองยังทำไม่สำเร็จเลย แล้วจักรภพจะมาเยินยอคุณทักษิณว่าเป็นผู้มาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบอุปถัมภ์ได้อย่างไร ไม่เชื่อก็ลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในพรรคไทยรักไทยในอดีต

ถามว่าค่านิยม “ค่าของคน อยู่ที่คนของใคร” (ที่จักรภพบอกว่าเป็นค่านิยมของระบอบอุปถัมภ์) นั้นหมดไปจากพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณหรือเปล่า ใครเห็นต่าง โต้แย้งกับคุณทักษิณแล้วสามารถอยู่ได้สบายดีหรือไม่ ใครที่สร้างผลงานเอาใจเจ้านายเป็นพิเศษก็ได้รับรางวัลชิ้นใหญ่กว่าคนอื่นใช่หรือไม่

แม้แต่จักรภพเองขณะนี้ ก็เป็นในสิ่งที่จักรภพเคยว่าคนอื่น ใครเห็นต่างจากตัวเองก็ไม่ได้ ขนาดจะออกระเบียบคุมสื่อรัฐ การแทรกแซงวิทยุชุมชน เหล่านี้จักรภพต้องถามตัวเองหลายๆ ครั้งว่าเป็นนักประชาธิปไตยจริงหรือ

หากนายจักรภพไม่ต้องการให้ใครนำเรื่องสถาบันมาเกี่ยวโยงกับการเมือง จักรภพและพวกก็ต้องละเว้นการกระทำที่หมิ่นเหม่ที่จะทำให้คนตีความว่าถ้อยคำและการกระทำของตนเป็นการจาบจ้วงสถาบัน กระทั่งทำให้คนที่เคารพเทิดทูนสถาบันไม่พอใจด้วยเช่นกัน

ยิ่งคำพูดที่สหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วต่อจากการพูดที่ FCCT นั้น ยิ่งชัดเจนว่าจักรภพคงไม่ได้หมายถึงแค่ พล.อ.เปรมแน่

ไปเรียนอเมริกาแค่ไม่กี่ปี ดันไปหลงใหล “เปลือก” ฝรั่งทั้งหมดเสียแล้ว ขณะที่ฝรั่งหลายคนตะกายมาอยู่เมืองไทย เพราะว่าไม่ชอบหลายอย่างของความเป็นฝรั่ง อเมริกันบางคนก็สารภาพดื้อๆ ว่าชอบเมืองไทยตรงที่ผู้น้อยให้ความเคารพผู้ใหญ่ รู้จักกตัญญูรู้คุณบิดา-มารดาและผู้มีพระคุณ

ในโลกนี้มีสิ่งต้องห้ามอยู่ 2-3 ประการ เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด นั่นก็คือ 1.อย่าดูถูกวัฒนธรรม-ประเพณีของคนอื่น 2.อย่าดูถูกศาสนาของผู้อื่น 3.อย่าดูถูกลบหลู่ในเรื่องที่คนส่วนใหญ่เคารพเทิดทูนศรัทธา

ที่มา มติชน วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11030 หน้า 6

 

แท็ก คำค้นหา