คอลัมน์ เดินหน้าชน
โดย เจตนา จนิษฐ
มีโอกาสฟังท่านนายกรัฐมนตรี “สมัคร สุนทรเวช” บ่นผ่านรายการสนทนาประสาสมัคร ทางเครือข่ายวิทยุและสถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ช่อง 11 เช้าวันอาทิตย์ ทั้งฟังท่านต่อปากต่อปากคำกับสื่อมวลชนในการให้สัมภาษณ์ทุกวันอังคารและวันศุกร์มาหลายนัด
ทุกนัดท่านนายกฯจะต้องมีทิ้งทุน เปิดประเด็นข่าว เหน็บแนม โอดครวญ และออกอาการเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสื่อมาตลอด
ผมล่ะเป็นห่วงอาการที่เก็บไม่อยู่ของท่านนายกฯจริงๆ
ยิ่งล่าสุดท่านนายกฯโยนให้สื่อเป็นแพะเต็มๆ หาไปบีบเค้นขุดบ่อวางกับดักจะให้ท่านตกหลุม ไปตีปี๊บชนกับทหารเรื่อง “ปฏิวัติ”
ก่อนหน้านี้ก็ทีแล้ว เรื่อง “มือที่มองไม่เห็น”!
พอสื่อไล่ถามตามที่ท่านนายกฯเปิดประเด็น เป็นใคร มาจากไหน ท่านก็จบเอาดื้อๆ ไม่พูด ไม่ตอบ จบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผมล่ะแปลกใจถ้าท่านนายกฯไม่พูดไม่ปูด แล้วสื่อหน้าไหนจะไปปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเอง
การที่รัฐมนตรีหลายท่านในรัฐบาลออกมาการันตีท่านนายกฯสมัครเป็นคนปากกับใจตรงกัน คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ผมก็ว่าเป็นเรื่องดี ได้เห็นความจริงใจ ถ้าท่านเป็นแค่นายสมัครหัวหน้าพรรคพลังประชาชนหรือเป็นพิธีกรรายการชิมไปบ่นไป
แต่ต้องไม่ใช่บทของการเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำประเทศไทย เพราะคำพูดที่ออกจากปากผู้นำประเทศจากปากนายกรัฐมนตรีต้องสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความเชื่อมั่น ทั้งในหมู่สมาชิกของคนในประเทศและต่างประเทศที่เฝ้าจับตาอยู่
ดังนั้น สิ่งที่จะหลุดจากปากของนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นสิ่งที่มีการคิด การกรอง มีสติกำกับ รู้ว่าพูดแล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไร
ไม่ใช่พูดเอามัน พูดเพื่อสะใจ ก็ข้าเป็นคนอย่างนี้ ใครจะทำไม?
โชคดีผมเกิดมาทันเคยเห็นมาแล้วนะครับนายกฯที่พูดเอามัน ปากไม่มีหูรูด คิดไว ปากไว แล้วในที่สุดลิ้นก็พันคอตัวเอง เพราะท่านลืมไปว่า “คำพูดเป็นนายตน”!
ที่ผมบ่นมามิบังอาจสอนสังฆราชอย่างท่านนายกฯสมัคร เพราะเพิ่งเป็นเณรฟันน้ำนมยังไม่หมดปาก แต่เป็นห่วงภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยในสายตาคนเมืองนอกเมืองนาเท่านั้น
กับท่านนายกฯสมัครนั้น ผมจำได้ตอนเล็กๆ เคยเกาะแขนพ่อซึ่งเป็นแฟนคลับของพรรคประชากรไทยมานาน กระเตงผมไปนั่งฟังท่านสมัครปราศรัยสนามหลวง สนามกีฬาห้วยขวาง และอีกหลายแห่งเป็นประจำ
ได้ยินเสมอท่านท้าสาบานพรรคที่ให้ร้ายป้ายสีกลั่นแกล้งขอให้มีอันเป็นไป !
ทุกวันนี้ผมลืมพรรคประชากรไทยไปแล้ว แล้วก็เห็นท่านสมัครเองก็ยังทิ้งมานั่งพรรคพลังประชาชน
วันก่อนช่วงวันนักข่าว 5 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้อ่านรำลึก 100 ปีชาตกาล ของท่านกุหลาบ สายประดิษฐ์ คืออิสรชน คือคนดี คือ ศรีบูรพา ผู้เป็นแม่พิมพ์อันดีงามของนักหนังสือพิมพ์ นักคิด นักเขียน
คำกล่าวของท่านกุหลาบในหนังสือหลายบทมีค่าอนันต์ ให้สติ ให้แง่คิด ให้มุมมอง และมุ่งมั่นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
บทหนึ่ง “..รัฐบาลของประเทศประชาธิปไตย มิได้มีขึ้นเพื่อที่จะปกครองประเทศตามอำเภอใจของตน หรือของพวกพ้องกลุ่มน้อยๆ ของตน รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจะต้องกำหนด และปรับปรุงนโยบายให้เป็นตามมติมหาชน …รัฐบาลที่ดำเนินนโยบายฝืนมติมหาชน จะเรียกว่ารัฐบาลของใครก็ได้ทั้งนั้น แต่จะเรียกว่ารัฐบาลของประชาชนหาได้ไม่…” (จากเพื่อประชาธิปไตย 13 กรกฎาคม 2500)
อีกบทหนึ่ง “… ถ้ารัฐบาลไม่ชอบให้ใครพูดถึงรัฐบาลในสิ่งที่ไม่ดี รัฐบาลก็จะต้องไม่ทำในสิ่งนั้น รัฐบาลต้องแก้การกระทำของรัฐบาล ไม่ใช่มาเรียกร้องให้เราแก้การเขียนหนังสือของเราที่เขียนไปตามความเป็นจริง…” (แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย)
แล้วอีกบทหนึ่งในความทรงจำ ชีวิตและการต่อสู้ ซึ่งท่านสุภา ศิริมานนท์ เป็นผู้ยกอนุสาส์นชิ้นหนึ่งของท่านคุณกุหลาบมากล่าวไว้
“…ถ้ารัฐบาลไม่ทำการกดขี่ปองร้ายหนังสือพิมพ์อย่างสิ้นสติ และยอมฟังคำตักเตือนวิพากษ์วิจารณ์ของหนังสือพิมพ์แล้ว บุคคลในคณะรัฐบาลจะไม่เมาถึงขนาดที่เมามาแล้ว และจะไม่หลงตัวลืมตัว และเสียตัวไปถึงขนาดที่ได้เสียไปแล้ว …จงพอใจในการกินยาขมเถิด เพราะมันจะตอบแทนด้วยการป้องกันมิให้ท่านตกไปในความเมาได้…”
“…อย่างชังเสรีภาพของนักหนังสือพิมพ์เลย เพราะถึงท่านจะชังมันเท่าใด มันก็จะต้องกลับมาวันยังค่ำ ถ้าท่านไม่เปิดประตูต้อนรับเมื่อได้ยินเสียงเคาะ มันก็จะต้องเข้ามาทางหน้าต่างหรือพังประตูเข้ามาจนได้ เพราะมันจะต้องการที่อยู่อันสมควร อย่างน้อยก็เช่นเดียวกับที่ท่านต้องการเหมือนกัน…” “…การไม่กดขี่เสรีภาพของนักหนังสือพิมพ์นั้นนับได้ว่าเป็นมงคลข้อหนึ่ง แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะมิได้ตรัสไว้ในมงคล 18 ก็ดี…” (จากที่นี่และที่นั่น 20 มีนาคม พ.ศ.2500
ผมอ่านแล้วรู้สึกคำกล่าวของท่านกุหลาบ สายประดิษฐ์ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาไม่เก่าเลย!!!
ที่มา มติชน วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10981 หน้า 6