คนอย่างนี้ นักข่าวต้องอย่างไหน

โดย อารักษ์ คคะนาท
หนังสือพิมพ์มติชน

มีนายกรัฐมนตรีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช หรือรัฐมนตรีมหาดไทยอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็น่าเหนื่อยแทนบรรดาสื่อมวลชนเหมือนกัน

คือส่วนใหญ่เป็นหนุ่มเหน้าสาวน้อย จะให้โต้ตอบฉาดฉานทันๆ กันเหมือนนักข่าวอาวุโส *สุทิน วรรณบวร* ไปหมดก็ไม่ได้

ดูแล้วแทนที่จะเป็นว่าสื่อคอยเล่นงานนายสมัคร อย่างที่นายสมัครมักพูด กลับเป็นว่านายสมัครจ้องจะฉุนเฉียวสื่อ หรือ ร.ต.อ.เฉลิมเห็นสื่อเป็นเด็กๆ เสียจนพูดเล่นได้ อย่างเรื่องผู้หญิงที่พูดชนิดลืมความสำคัญของสถานะตัวเอง จนแม้ภรรยายังต้องเตือนเสียมากกว่า

ความจริงการทำงานของสื่อมวลชนทุกวันนี้ ไม่ว่าหนังสือพิมพ์หรือวิทยุโทรทัศน์ ก็ทำงานไปตามความคิดอ่านของสังคม เพราะตัวนายสมัครที่มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน คนเขาก็เห็นว่าเป็นตัวแทน แม้เจ้าตัวก็ยังเคยเห็นว่าเป็นนอมินีแล้วแปลกอะไรตรงไหน ดังนั้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา คนเขาก็เห็นกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงมากกว่า แล้วจะเป็นการกระทบกระแทกแดกดัน หรือเสียดสีอย่างไร ในเมื่อถามไปตามที่คนเขารู้สึก

คงมีแต่ความคิดอ่านระดับนายสมัครกระมัง ที่เห็นว่านักข่าวคอยตั้งคำถามกระทบกระเทียบแดกดัน กระทั่งเก็บอาการไม่ได้ แสดงความรู้สึกที่แท้ในสถานการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านออกมา ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวกับบรรดานักข่าวเมื่อเช้าวันวาน

ใครที่เห็นภาพข่าวจากโทรทัศน์ ย่อมเห็นว่านายสมัครระรานนักข่าว มากกว่านักข่าวจะหาเรื่องนายสมัคร เพราะนักข่าวไม่ได้มีความต้องการหรือถือเป็นโอกาสจะโต้ตอบเล่นงานอะไรนายสมัครเลย

หากนักข่าวมีอารมณ์จะทำงานแบบตาต่อตาหรือฟันต่อฟันกับนายสมัครแล้ว ทุกครั้งที่พูดถึงการเป็นผู้ว่าฯด้วยล้านกว่าคะแนนเสียงนั้น ก็ต้องขัดคอไปแล้วด้วยคำถามประเภทที่ว่า คนเลือกนายสมัครล้านกว่าเสียง แต่คนไม่เลือกนายสมัครก็มีอีกมากกว่าหนึ่งล้านเสียงนั้นเหมือนกัน เพราะเขาเลือกนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, เลือกนายธวัชชัย สัจจกุล, เลือก พ.อ.วินัย สมพงษ์, เลือกคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช

รวมคะแนนกันแล้วก็มากกว่าที่นายสมัครได้ คือเขาไม่เอานายสมัคร เขาเลือกคนอื่นๆ แล้วจะมาคุยทำไม

พูดโง่ๆ ก็ต้องคิดโง่ๆ แบบนี้ ไม่ถูกตรงไหน

หรือที่ ร.ต.อ.เฉลิมแถลงเสียงดังว่า ที่นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ลาออกจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีช่วย ก็เพราะนายชนม์สวัสดิ์มีคดี แต่นายวันไม่มี นักข่าวก็ต้องย้อนให้แล้วว่า นายชนม์สวัสดิ์ต้องการยุติข้อสงสัยของสังคมก่อนก็จริง แต่นายชนม์สวัสดิ์ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของสังคมด้วย ไม่ว่าสังคมจะคิดจะมองอย่างไร ก็ถือว่าสังคมคอยอบรม แนะนำ ตักเตือน

นายวันให้ความสำคัญกับความรู้สึกของสังคมหรือเปล่า

ต้องอย่างนั้น

นายสมัครจะอารมณ์เสียกับนักข่าว ใช้วาจาอย่างที่ผู้นำอารยะที่ไหนก็ไม่ทำกัน หยาบหยามดูหมิ่นสติปัญญาผู้สื่อข่าวอย่างไร ใครเขาก็เห็นว่า นั่นเป็นอาการของคนที่เกิดจากความไม่มั่นใจในสถานะตัวเอง เกิดจากการที่ผู้คนไม่เชื่อถือศรัทธาในสถานะของตัว เกิดจากการที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

คนเขาเห็นกันอย่างนี้ คนเขาคิดกันได้แค่นี้ คนเขาโง่กันทั้งประเทศไหม ที่ไม่เห็นว่านายสมัครสำคัญกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ

ไม่อย่างนั้นจะต้องไปยืนยันกับนาย *คริสโตเฟอร์ ฮิลล์* ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ สหรัฐ ด้านกิจการเอเชียแปซิฟิค ตามที่รองโฆษกประจำสำนักนายกฯแถลงให้คนเขาขำกันทำไมว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง

ถ้าไม่เพราะคนเขาไม่เชื่อ

ถ้าไม่เพราะมีคนอื่นที่เขาเชื่อมากกว่าว่าเป็นนายกฯตัวจริง

แล้วจะโมโหทำไม

จะโมโหคนอื่นเขาทำไม ในเมื่อต้องรู้อยู่แต่แรกรับเป็นหัวหน้าพรรคนี้แล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร

ที่จริง หากเอาตัวเองออกมา แล้วมองภาพตัวเองกลับไปในขณะให้สัมภาษณ์นักข่าววันวานไม่ได้ เพราะเป็นนิสัยเสียแล้ว ก็ลองเอาใจคนไปใส่ใจแมวดู ไม่ต้องแมวปากจัดอย่าง *นังโมหิณี* ของคุณ *เมฆ มณีวาจา* ก็ได้ แล้วให้แมวมองกลับไปยังนายกรัฐมนตรีคนนั้นดู

มองในฐานะวิญญูแมวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเจ็ดสิบกว่าปี ไม่ใช่มองจากสายตาตัวโมหะหรือโทสะที่เบ่งพองขึ้นเรื่อยๆ มาตลอดเจ็ดสิบกว่าปี

ว่าคนที่มีอากัปกิริยาหรือบุคลิกอย่างที่เห็นนั่นหรือ คือนายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่ง

ถามแมวดีที่สุด เพราะแมวไม่มีหัวโขนจะใส่

แมวจึงไม่มีวันเข้าใจว่า ทำไมบางคนถึงได้อยากใส่หัวโขน แล้วเชื่อเอาจริงๆ ว่าตนเป็นอย่างหัวที่ใส่อยู่นั้น

ที่มา มติชน วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10948 หน้า 2

แท็ก คำค้นหา